โฆษณา Google Ads หรือ Google Adwords เป็นการทำโฆษณาผ่านเครือข่ายแพลตฟอร์มของ Google ซึ่งประกอบด้วยแพลตฟอร์มหลายๆ รูปแบบ ได้แก่ คำค้นหา หรือ Google Search, แบนเนอร์โฆษณา หรือ Google Display Network (GDN), โฆษณาวิดีโอ หรือ โฆษณาบน YouTube, โฆษณาแอปพลิเคชัน หรือ Universal Campaign, โฆษณาสินค้า หรือ Shopping Ads ซึ่งนอกจาก Google Ads จะมีความหลากหลายแล้ว แพลตฟอร์มของ Google Ads มีจุดแข็ง คือ มีผู้ใช้งานจำนวนมากประมาณ 3,500 ล้านครั้งต่อวัน (สถิติ Google Search ในปี 2019)

• ติดหน้าแรกทันทีโฆษณา Google Ads สามารถทำให้เว็บไซต์อยู่บนหน้าแรกของ Google ได้ทันที ตอบโจทย์ธุรกิจที่มีความสะดวก รวดเร็ว สามารถหาลูกค้าเจอได้ทันที
• เสียค่าโฆษณาเมื่อมีคนคลิกดูเท่านั้น การลงโฆษณาบน Google ช่วยให้ธุรกิจประหยัดเงินค่าโฆษณา เพราะมีระบบในการหักเงินที่ต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ โดยจะหักเงินเมื่อมีผู้ใช้งานเข้าชมโฆษณาเท่านั้น
• ตรงกลุ่มเป้าหมาย โฆษณากูเกิ้ลสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมายสูงสุด เพราะคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาบนโฆษณา Google Ads เป็นคำที่กลุ่มเป้าหมายสนใจอยู่แล้ว และส่วนใหญ่อยู่ในกระบวนการการตัดสินใจ จึงทำให้การทำโฆษณาได้ผลลัพธ์ดีที่สุดนั่นเอง
• เพิ่มยอดขาย การลงโฆษณา Google Ads สามารถกำหนดและควบคุมค่าใช้จ่ายในการโฆษณาต่อวันหรือต่อแคมเปญได้อย่างชัดเจน

ก่อนอื่นลองทำความเข้าใจกันก่อนว่า SEM กับ SEO แตกต่างกันอย่างไร โดย SEM หรือ Search Engine Marketing เป็นการทำโฆษณาเว็บไซต์บน Search Engine (Search Engine Marketing) หรือการทำโฆษณาบน Google ที่คุ้นเคยกันนั่นเอง โดยโฆษณา google จะมีรูปแบบของการจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณาที่แตกต่างกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งเรียกกันว่า PPC หรือ Pay Per Click ที่มีการเก็บเงินจากผู้ซื้อโฆษณา (ผู้ประกอบการ) ตามจำนวนคลิกที่เข้าชมนั่นเอง

ในส่วนของ SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การสร้างอันดับของเว็บไซต์บน Search Engine โดยไม่มีการทำโฆษณานั่นเอง ซึ่งจะใช้เทคนิคต่างๆ แทนการทำโฆษณา เช่น การใช้คีย์เวิร์ด การปรับแต่งรูปแบบเนื้อหา เพื่อทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพบน Google นั่นเอง

แต่หากเว็บไซต์มีการทำ SEO แล้ว การทำ SEM ก็ยังคงสำคัญ เนื่องจากในเว็บไซต์จะประกอบด้วยคีย์เวิร์ดหลายๆ คำ ทำให้ในบางคีย์เวิร์ดที่ยังไม่ติดอันดับ SEO ก็จะมีจุดอ่อน รวมถึง SEM และ SEO ก็จะมีความแตกต่างกันอีกด้วย

1. SEM หรือ Google Ads เป็นโฆษณาที่อยู่บน Google แต่ SEO จะแสดงแบบ Google แบบ Organic

2. SEM สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายเจาะจงได้ แต่ SEO ไม่สามารถเลือกโดยตรงได้

3. SEM จะเห็นผลได้เร็วกว่า SEO

4. SEO เป็นการลงทุนในระยะยาว แต่ SEM เป็นการโฆษณาบน Google ในระยะสั้น

5. SEM สามารถกระตุ้นให้เกิดการคลิกได้มากกว่า SEO ที่ยังไม่ติดอันดับ

นอกจากนี้คุณควรพิจารณาการทำ SEM และ SEO ในบริบทของธุรกิจของคุณด้วย โดยพิจารณาจากการแข่งขันในวงการธุรกิจของคุณ กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ วงจรการซื้อขายของประเภทสินค้า รวมถึงพิจารณาอายุของธุรกิจและสถานะของเว็บไซต์ในขณะนั้นอีกด้วย

การเตรียมตัวของธุรกิจ สำหรับการใช้บริการ Google Adwords เพื่อให้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ สิ่งที่ธุรกิจควรเตรียมให้พร้อมมีดังนี้

• จัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ ซึ่งเป็นรายละเอียดข้อมูลที่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เอเจนซี่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า และจุดเด่น โดยเราจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปเริ่มวางแผนออกแบบ Keyword และวางกลยุทธ์การทำโฆษณา google นั่นเอง
• ธุรกิจต้องมีหน้าเว็บไซต์สำหรับทำโฆษณา โดยเตรียมหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการนำไปลงโฆษณา Google ซึ่งหากยังไม่มีเว็บไซต์สามารถให้ใช้บริการสร้างเว็บไซต์ควบคู่กันไปได้
• หากธุรกิจคุณเคยทำโฆษณา Google เองแล้ว หรือ จ้างเอเจนซี่ทำโฆษณาให้ สามารถแจ้งทีมงานก่อนได้ เพื่อให้การพัฒนาต่อยอดจากแคมเปญเดิม และให้ได้ประสิทธิภาพในการทำโฆษณา Google Ads ต่อเนื่องเลยทันที

นอกจากนี้ธุรกิจควรเข้าใจก่อนว่าการทำ Google Ads หรือ Google Adwords เป็นการทำโฆษณาโดยมีกลยุทธ์การปรับแก้หรือ Optimize ระบบโฆษณาเป็นประจำ ร่วมกับการมอนิเตอร์ในการลงโฆษณา Google เพื่อให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพที่สุด ซึ่งเมื่อเกิดการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้และธุรกิจสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ ก็จะทำให้ยอดขายของธุรกิจเพิ่มขึ้น NIPA Digital Agency มีประสบการณ์การใช้เครื่องมือต่างๆ ในการทำ Google Ads ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้ามาช่วยให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น Google Analytics, Tags Manager, Audience List และ Remarketing เป็นต้น เพื่อให้กลยุทธ์การตลาดทำงานได้เต็มที่ที่สุด รวมถึงการนำข้อมูล และ Data ต่างๆ มาใช้ปรับปรุงแคมเปญให้ดีขึ้นในระยะยาว